โตขึ้นฉันอยากเป็น ......

     หลาย ๆ ครั้ง ที่ฉันเคยถามกับตัวเองว่า " โตขี้นฉันจะเป็นอะไร ?? " คงจะใช่แน่ถ้าตอบว่า " เป็นผู้ใหญ่ ^__^  " ก้อแน่ละสิ โตขึ้นใคร ๆ ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น # # { แล้วฉันจะพูดเพื่อ ... ? } >o<


     เข้าเรื่องกันดีกว่า @ @ ฉันแค่เคยคิดแบบเล่น ๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นนู่น อยากเป็นนี่ ไม่เคยคิดจริง ๆ จัง ๆ ซักที ว่าอยากเป็นอะไรกันแน่ .... เฮ้อออ คิดแล้วก็หนักใจ คำถามข้อนี้ยากที่จะตอบแบบจริง ๆ จัง ๆ


    หากย้อนไปตอนสมันเด๊กก เด็ก ฉันเคยคิดไว้ว่า โตขึ้นฉันอยากเป็น นักร้อง นักแสดง คุณครู แอร์โฮสเตส เปิดร้่านขายเบเกอร์รี่ พนักงานบริษัท ........ ฯลฯ


    แต่พอมาคิดดูอีกที อาชีพเหล่านั้น ก็เป็นอาชีพที่เด็กผู้หญิงคนนึง เพ้อฝันเอาไว้ ~ ~ ตามประสาเด็ก ><  ซึ่งถ้ามาเทีบยกับตอนนี้ ฉันก็ไม่ค่อยสนใจความคิดเหล่านั้นซักเท่าไหร่แล้ว


    การบ้าน ครั้งนี้ นับว่ายากมากทีเดียว !! แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอก ! ฉันจะพยายามให้ถึงที่สุด >,,<
ขั้นตอนที่ต้องทำมีอยู่ว่า >>>
ขั้นแรก ฉันต้องคิดให้ได้ก่อนว่า โตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร ??
ขั้นสอง ไปหาคำตอบมา ว่าอาชีพที่ฉันอยากเป็น ต้องเรียนคณะอะไร ??
ขั้นสาม เปิดเว็บไซต์คณะต่าง ๆ หาว่าต้องเรียนอะไรบ้าง อ่านรายละเอียด แล้วมาประเมิน
ซึ่งหลักการประเมินมีดังนี้ !!~
ให้เกรดแต่ละวิชา ถ้า >>> เกรด 4 => รัก  !!~  ^___^
                                          เกรด 3 => ชอบ แต่ไม่ถึงรัก
                                          เกรด 2 => พอแค่น
                                          เกรด 1 => ยอมทน
                                          เกรด 0 => เกลียด !!


ต่อจากนั้นก็มาหาค่าเฉลี่ย >>> 0 - 1   อย่าเหยียบ !
                                                  1 - 2  ไม่ควรเรียน
                                                  2 - 3   ถ้าจะเรียน ต้องแก้จุดอ่อนวิชาที่ให้เกรด 1 , 2 ให้ได้
                                         3.00 - 3.49  เรียนแล้วจะมีความสุขมาก
                                         3.50 - 3.70  จบอย่างเทพ !!


ฉันได้ลองไปทดสอบกับคณะแพทย์ศาสตร์ปรากฏว่าได้ เฉลี่ย 3.23 แสดงว่าฉันก็คงมีโอกาสได้เป็นแพทย์กับเค้าบ้าง ^ ^


คุณสมบัติที่ดีของแพทย์

1.สุขภาพกายต้องแข็งแรง

การเป็นแพทย์ทุกคนต้องมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หลังเอ็นทรานซ์ติดแล้ว  3  ปีแรกจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยทำงานอดหลับอดนอน  เมื่อเข้าสู่ปี  4  จะมีการอยู่เวรยาม  แต่ยังไม่โหด  อาจถึงแค่เที่ยงคืน  เมื่อเข้าสู่ปี  6  เวรจะโหดมากต้องอยู่วันเว้นวันหรือ  วันเว้นสองวัน  นักศึกษาปี  6  นี้ต้องดูแลผู้ป่วยตลอดคืน  คนไข้เป็นอะไรต้องตามนิสิตแพทย์ก่อน  ในขณะที่กลางวันต้องทำงาน    บางคนเป็นลมข้างเตียงผู้ป่วยก็มี  ดังนั้น  การมีร่างกายแข็งแรงมีความจำเป็น  เพราะถ้าไม่เช่นนั้นอาจทำให้การทำงานขาดสะบั้นลงได้

2.ความเมตตากรุณาต่อผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์  อดุลยเดชวิกรม  พระบรมราชชนก  พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย  และพระบิดาแห่งการสังคมสงเคราะห์  ได้สั่งสอนนักเรียนแพทย์ให้ยึดมั่นในอุดมคติ  ดังนี้

"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นกิจที่สอง  ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง"
พรหมวิหารธรรมเป็นธรรมอันประเสริฐ  เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพรหม  สำหรับผู้เป็นแพทย์  ทำให้แพทย์ผู้ปฏิบัติพรหมวิหารธรรมเสมอด้วยพรหม  มี  4  ประการ  คือ

1)เมตตา  ความรักใคร่  ปราถนาดีอยากให้ผู้ป่วยมีความสุขมีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่ผู้ป่วยเสมอ

2)กรุณา  ความสงสารใฝ่ใจอันปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้ป่วยที่กำลังได้รับอยู่  (Altruism)

3)มุทิตามี  ความยินดีเมื่อผู้ป่วยอยู่ดีมีสุข

4)อุเบกขา  ความวางใจเป็นกลาง  มีจิตเรียบตรงดุจตราชั่ง  ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง

3.มีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
แพทย์ต้องไม่รังเกียจที่จะพูดคุยกับคนอื่น  เมื่อผู้ป่วยซักถามอะไรที่อาจไม่มีสาระ  แพทย์ก็ควรตอบให้ผู้ป่วยเข้าใจโดยไม่รำคาญ  อาจารย์แพทย์มักกล่าวว่า  "ถ้าหมอหรือญาติของหมอเองเจ็บป่วยด้วยโรคที่หมอเองก็ยังไม่รู้  ต้องพึ่งคุณหมอคนอ่น  คุณอยากถามอะไรกับคุณหมอท่านนั้นบ้างล่ะ"

ในโรงเรียนแพทย์เรื่องนี้ถือเป็นจุดด้อยเพราะไม่มีการเรียนรู้อย่างจริงจัง  แต่จะเรียนรู้ทางอ้อมจากการซึมซับจากอาจารย์แพทย์  การปฏิบัติงาน  ไม่ใช่ว่าแพทย์จะดุผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยไม่ได้  แต่แพทย์สามารถเตือนได้เมื่อผู้ป่วยทำสิ่งที่ไม่สมควร  (ไม่ดุก็เหมือนดุ)  ไม่ใช่เพราะผู้ป่วยไม่ฟังแพทย์  แต่เพราะแพทย์เป็นห่วงผู้ป่วย  สิ่งที่ผู้ป่วยทำอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

4.มีสติปัญญาที่ดี

ร่างกายของคนเรามหัศจรรย์มาก  คือ  เห็นเป็นรูปร่างอย่างนี้  ข้างในมีอะไรให้เราศึกษาได้อย่างไม่ณุ้จบสิ้น  แพทย์ต้องเรียนรู้รายละเอียดทั้งหมดในร่างกาย  ผูที่เป็นนักศึกษาแพทย์ต้องมีความจำดีไม่ใช่ได้หน้าลืมหลัง  เพราะมีความรู้ใหม่ๆแทรกมาตลอดเวลา  ซึ่งความรู้พวกนี้ต้องใช้ความรู้พื้นฐานชั้นต้นๆมาเรียนรู้ตลอด  6ปี  แพทย์ต้องมีความเข้าใจ  มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี  ไม่ใช่เอาแต่ท่องจำอย่างเดียว  ต้องเป็นผู้ขยันหาความรู้  เพราะวิทยาศสาตรืจะมีความรู้ใหม่ๆเข้ามาเสมอ  นอกจากนี้  แพทยืต้องมีวิจารณญาณสูง เพราะแพทย์ต้องวิเคราะห์องค์ความรู้ที่มีอยู่มากมายมาเป็นของตนเอง  เลือกได้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี